12 วิธีอ่านหนังสือสอบอย่างไรให้เข้าสมอง ช่วยให้จำเก่งขึ้น
ปัญหาที่น้องๆ หลายคนเจอเวลาเรียนหนังสือ ก็คงหนีไม่พ้น อ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจ อ่านแล้วจำไม่ได้ หรืออ่านแล้วจำได้แล้ว แต่พอถึงเวลาสอบจริงๆ ดันลืมเสียได้ สิ่งเหล่านี้สร้างความกังวลใจให้แก่น้องๆ ไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ? แต่ก็อย่าเพิ่งท้อใจไป หากอ่านหนังสือยังไงก็ไม่เข้าหัวสักที เพราะบทความนี้จะมานำเสนอเทคนิคการอ่านหนังสือดีๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการเรียนของน้องๆ ให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเรียนหรือสอบก็ต้องผ่านฉลุยแน่นอน
คำถามที่หลายคนคงถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น วิธีอ่านหนังสือสอบอย่างไรให้เข้าสมอง? หรือ อ่านหนังสือตอนไหนดีที่สุด? ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจว่าเราควรอ่านหนังสืออย่างไร เวลาไหน ถึงจะทำให้จำได้ดี ก็ต้องทำความเข้าใจ และทำความรู้จักกับสาเหตุก่อน เพราะสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาการอ่านหนังสือไม่เข้าใจให้หมดไป คือการแก้ไขจากสาเหตุดังกล่าวนั่นเอง มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่มำให้อ่านหนังสือแล้วลืมเป็นประจำ
ก่อนที่จะลงมืออ่านหนังสือน้องๆ ต้องถามตัวเองด้วยว่า เข้าใจเนื้อหาที่เรียนแล้วหรือยัง หากยังไม่เข้าใจ หรือยังมองภาพรวมของบทเรียนนั้นๆ ไม่ออก ก็จะทำให้การทำความเข้าใจโดยการอ่านหนังสือด้วยตัวเองมีความยาก และยังส่งผลให้ไม่อยากอ่านหนังสือเอาเสียดื้อๆ ได้ หากยังไม่ค่อยใจในบทเรียนก็ควรสอบถามจากอาจารย์ผู้สอน หรือเพื่อนที่เรียนเก่ง และเข้าใจเนื้อหามาช่วยอธิบายเพิ่มความเข้าใจได้
วิธีการเรียนไม่เหมาะสมกับตัวเองเป็นปัญหาที่เชื่อว่าหลายๆ คนกำลังประสบอยู่ เพราะน้องๆ บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าวิธีที่ตัวเองใช้เรียนนั้นไม่เหมาะสมกับตัวเอง ทำให้ไม่ว่าจะพยายามอ่านหนังสือเท่าไรก็อาจจะได้ผลที่ไม่น่าพอใจนัก เพราะฉะนั้น น้องๆ ต้องสังเกตตัวเองว่าสมองของน้องๆ จดจำวิธีการเรียนแบบไหนบ้าง บางวิธีอาจเหมาะกับคนอื่น แต่ไม่เหมาะกับเราก็ได้ บางคนจดจำได้ดีกว่าเมื่อหันมาใช้วิธีการฟัง บางคนก็ถนัดการอ่าน บางคนก็ถนัดลงมือปฏิบัติ บางคนถนัดอ่านไปด้วยเขียนสรุปไปด้วย หรือบางคนชอบการเล่นเกมโดยใช้บัตรคำในการช่วยจำ เป็นต้น
สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำกิจวัตรแต่ละอย่างในแต่ละวัน โดยเฉพาะในเรื่องการเรียน และการอ่านหนังสือ หากจิตใจวอกแวก สมองมีเรื่องอื่นๆ เต็มไปหมด หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวทำลายสมาธิ เช่น เพื่อนพูดคุยเสียงดัง และชวนคุยระหว่างเรียน ก็อาจจะจะทำให้การเรียน และการอ่านหนังสือของเราไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
บางครั้งร่างกายเหนื่อยล้า นอนน้อย นอนไม่พอ หรือไม่ได้นอน ส่งผลให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่ มึนงง และเบลอ ทำให้ความจำแย่ลง การอ่านหนังสือ หรือทำความเข้าใจในบทเรียนนั้นก็เป็นไปได้ยาก ซึ่งการนอนยังเป็นหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความจำตามแนวคิดทฤษฎี เส้นโค้งการลืม (Forgetting Curve) อีกด้วย โดยทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นโดยนักจิตวิทยาเยอรมัน แฮร์มันน์ เอบบิงเฮาส์ (Hermann Ebbinghaus)
เอบบิงเฮาส์ ได้พูดถึงศักยภาพในการจำข้อมูลใหม่ๆ ของมนุษย์ไว้ว่า หากไม่ได้มีการทบทวน ความทรงจำก็จะค่อยๆ เลือนหายไป เขาค้นพบว่าคนเราจดจำได้ดีกว่าหากข้อมูลนั้นมีการจัดเรียงที่เป็นระบบระเบียบอย่างมีเหตุผลและชัดเจน รวมถึงความเครียดก็ส่งผลต่อความสามารถในการจำ และกลายเป็นวงจรซ้ำซ้อนเพราะจำไม่ได้ก็จะเครียด เครียดมากๆ ก็จำไม่ได้ เพราะฉะนั้นการจัดการความเครียด และการพักผ่อนให้เพียงพอก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมวิธีอ่านหนังสือสอบให้เข้าสมองได้ดียิ่งขึ้น จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการจดจำดีขึ้น
อย่างที่รู้กันไปแล้วว่า สมาธิเป็นตัวช่วยสำคัญในการเรียนและการอ่านหนังสือ แต่ในปัจจุบันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่รบกวนสมาธิของคนเรา หรือทำให้สมาธิจดจ่อสั้นลง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผู้คนรอบข้างที่ส่งเสียงดัง อาการง่วงนอน หรือปัจจัยอื่นๆ การรวบรวมสมาธิจึงถือว่าจำเป็นในการเรียน และการอ่านหนังสือ เทคนิคอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง เช่น
การฝึกสมาธิสามารถทำได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน โดยนั่งสมาธิเป็นระยะเวลาสั้นๆ 2-3 นาที ก่อนเริ่มเรียนหรืออ่านหนังสือ
หากต้องอ่านหนังสือเพื่อทบทวนบทเรียนแต่มีสิ่งรอบตัวมากมายที่รบกวนสมาธิ ก็ให้เอาตัวเองออกห่างจากสิ่งนั้น โดยการปิดแจ้งเตือนมือถือ ปิดทีวี ปิดเพลง หรืออ่านหนังสือในสถานที่เงียบๆ อย่าง ห้องสมุด เป็นต้น
การทานอาหารที่มีประโยชน์ มีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบประสาท และสมองจะช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น ส่งผลให้สมาธิดีไปด้วย
การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้สมองทำงานได้ไม่ดี มีอาการง่วง และมึนงง ซึ่งลดทอนสมาธิและความจำ
หากรู้สึกล้าจากการอ่านหนังสือก็ให้เวลาตัวเองได้พักเบรคบ้าง การฝืนอ่านหนังสือทั้งๆ ที่รู้สึกเมื่อยล้า จะทำให้สมาธิ และประสิทธิภาพการจดจ่อลดลง
To do list เป็นเทคนิคที่หลายๆ คนนำมาใช้กับการเรียน และการอ่านหนังสือ ซึ่งช่วยจัดลำดับความสำคัญ และทำให้เห็นภาพรวมของสิ่งที่ “ต้องทำ” ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลายครั้งกับงานที่ต้องทำ หรือหนังสือที่ต้องอ่านสอบมีเยอะมากๆ จนสมองจัดลำดับความสำคัญไม่ทัน การเขียนรายละเอียดลงใน To do list จะช่วยให้เราเห็นภาพรวม และเรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้น เมื่อสมองของเรามีความคิดที่เป็นระบบก็จะช่วยให้การอ่านหนังสือมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น To do list ยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือล้น ลดความขี้เกียจ และสร้างความรู้สึกดีๆ เมื่อทำสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้สำเร็จ รวมทั้งช่วยลดความเครียดอีกด้วย
การอ่านสรุปและหัวข้อเป็นเทคนิคการอ่านหนังสือเพื่อจับจุด และทิศทางของเนื้อหาว่าเป็นไปในทางไหน ซึ่งการได้เห็นผ่านตาก่อน จะช่วยให้เกิดความง่ายต่อการอ่านและทำความเข้าใจ อันดับแรกคือการอ่านหัวข้อหลักและหัวข้อย่อยก่อน ตามหนังสือเรียนต่างๆ จะมีหัวข้อหลักและหัวข้อย่อยแสดงไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว น้องๆ สามารถสังเกต เพื่อเรียงลำดับความสำคัญของเนื้อหาในจุดนี้ได้ รวมถึงการสังเกตคำที่ทำตัวหนา หรือตัวเอียง สี หรือขนาดตัวอักษรเอาไว้ด้วย เพราะอนุมานได้ว่าเป็นจุดสำคัญที่ต้องจำ และทำความเข้าใจ
การอ่านสรุปก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการอ่านหนังสือสือให้จำได้ เมื่ออ่านสรุป น้องๆ จะเห็นภาพรวมทั้งหมดแบบสรุปของเนื้อหา เพื่อให้รู้ว่าต้องอ่านอะไร และต้องเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ การอ่านสรุปยังช่วยให้การอ่านของเราเร็วขึ้น ประหยัดเวลา และยังจดจำและเข้าใจได้เป็นอย่างดี
การแบ่งส่วนเป็นกลุ่มๆ (Chunk) คือกระบวนการแบ่งส่วนย่อย และจัดกลุ่มข้อมูลเป็นส่วนๆ อย่างเช่น ในการอ่านหนังสือสักเล่มหนึ่งนั้น แทนที่จะอ่านตามใจชอบ อ่านไปเรื่อยๆ ก็ลองแบ่งการอ่านออกเป็นส่วน โดยสามารถแบ่งเป็นเนื้อหาใกล้เคียงกันมารวมเป็นกลุ่มเดียวกันภายใต้หัวข้อใหญ่ หรือสร้างเป็นธีมขึ้นมาแล้วจัดกลุ่มเนื้อหาเดียวกัน หรือมีคุณลักษณะบางอย่างเหมือนกันให้อยู่ภายใต้ธีมนั้นๆ เทคนิคการอ่านหนังสือแบบนี้จะช่วยจัดระเบียบข้อมูลให้เข้าที่เข้าทาง ถือเป็นวิธีอ่านหนังสือสอบให้เข้าสมองเพราะง่ายต่อการจดจำ แต่ก็อย่าลืมทบทวนด้วยล่ะ เพื่อสมองจะได้เชื่อมโยงข้อมูลและเกิดการจดจำ ส่งผลให้การเรียนสนุก เรียนรู้ได้ไว หยิบเนื้อหามาทบทวนง่าย และไม่มีทางลืมแน่นอน
การจดโน้ตเป็นวิธีการเรียนที่หลายๆ คนทำกันอยู่แล้ว แต่เป็นไหม จดมาก็ตั้งเยอะ แต่อ่านแล้ว ไม่เข้าใจ เนื้อหาเต็มไปหมดจนตาลาย การทำเลคเชอร์จึงต้องมีเทคนิค เพื่อที่ทำออกมาแล้วจะได้ใช้ประโยชน์ได้จริง
อ่านก่อนสรุปเป็นการอ่านเพื่อให้เห็นภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมด เพื่อที่จะได้จดบันทึกได้ถูกต้อง ไม่ต้องแก้ไขบ่อยๆ เพราะบางครั้งข้อมูลมีการเพิ่มเติมเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ดังนั้น ควรอ่านให้เข้าใจภาพรวมเสียก่อน
หลายๆ คนอาจเน้นใส่ตัวหนังสือเยอะๆ เพราะคิดว่าเป็นการใส่เนื้อหาได้ครบถ้วน และได้ข้อมูลแบบไม่ขาดหาย แต่จริงๆ แล้ว เราควรเน้นจดเฉพาะส่วนที่สำคัญ และส่วนขยายความก็เน้นสั้นๆ กระชับ ได้ใจความก็เพียงพอแล้ว วิธีจดโน้ตแบบนี้เป็นเทคนิคการอ่านหนังสือที่ช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น
การสรุปโดยใช้ภาษาของตัวเอง ซึ่งให้ความเป็นธรรมชาติ และเป็นภาษาที่คุ้นเคย ทำให้ง่ายต่อการจำและการทบทวน บางครั้งในหนังสือจะเป็นการใช้ภาษาที่เป็นทางการ ทำให้การจดจำไม่ดีเท่ากับการใช้ภาษาง่ายๆ ของตัวเอง
เพื่อย่นระยะเวลาการจดโน้ตและง่ายต่อความเข้าใจ การใช้สัญลักษณ์ หรือต่อย่อก็ช่วยให้การจดโน้ตง่ายขึ้น และทำให้เนื้อหาไม่เยอะเกินไป เหมาะแก่การจดจำ
สังเกตไหมว่าเราจำได้ดีกว่าเมื่อเห็นภาพ? การจดโน้ตก็เช่นกัน การจดโน้ตโดยการวาดรูป รวมถึงการสร้างผังความคิด จะช่วยให้เราดึงภาพออกมาใช้จากความทรงจำได้ง่ายขึ้น เพราะผังความคิดช่วยให้เราเห็นภาพรวมของสิ่งทั้งหมดที่แตกแขนงและมีความเชื่อมโยงกัน
สีสันมีส่วนช่วยในการจดจำ เนื่องจาก สีส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ของบุคคล รวมทั้งสียังช่วยให้การจดสรุป ดูน่าสนใจ น่าอ่าน กระตุ้นความรู้สึกให้อยากหยิบหนังสือมาทบทวน สีที่แตกต่างกันนั้นก็ส่งผลต่อการรับรู้ที่แตกต่างกันไป
ใครที่รู้สึกว่าความจำสั้นเป็นปลาทอง อ่านเท่าไรก็เด้งออกหมด เหมือนจะไม่เข้าหัวสักเท่าไร บางทีอาจจะอ่านผิดวิธีอยู่นะ ถ้าอ่านหนังสือในใจแล้วรู้สึกว่าไม่เวิร์ค ก็ลองเปลี่ยนวิธีมาอ่านออกเสียงดู เคยไหมเวลาอ่านอะไรที่ไม่ค่อยเข้าใจ ริมฝีปากก็เริ่มขยับ เสียงก็เริ่มเปล่งออกมาเพื่อทบทวนประโยคนั้นๆ ให้เข้าใจ เพราะการได้ยินเสียงของตัวเองจะช่วยกระตุ้นการรับรู้ ความเข้าใจ และทำให้เกิดความจำระยะยาวได้นั่นเอง
หากอ่านเท่าไรก็ยังไม่จำ ก็ต้องมีตัวช่วยกันหน่อย การทำอุปกรณ์เสริมการเรียนรู้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยในการอ่านหนังสือสอบให้เข้าสมอง อย่างเช่น แฟลชการ์ด ปากกาไฮไลท์ หรือกระดาษโพสต์อิท ซึ่งเป็นวิธีเพิ่มความจำง่ายๆ ที่ทำให้การเรียนและการอ่านหนังสือสอบไม่น่าเบื่อ
แฟลชการ์ด หรือบัตรคำ เป็นตัวช่วยด้านความจำที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ที่เห็นได้บ่อยๆ เลยคือการทำบัตรคำศัพท์เพื่อเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ แฟลชการ์ดนอกจากใช้เรียนรู้เรื่องคำศัพท์แล้ว ยังสามารถใช้กับวิชาอื่นๆ ได้เช่นกัน การเรียนรู้ด้วยวิธีนี้ได้ทั้งความสนุก ไม่น่าเบื่อ แถมยังพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก เหมาะแก่การทบทวนได้ทุกที่ทุกเวลา
ปากกาไฮไลท์คือการใช้สีสันเพื่อกระตุ้นสมอง เพื่อการรับรู้ที่ดีขึ้น โดยการให้หลักจิตวิทยาของสีมาใช้ ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างความรู้กับสี พร้อมทั้งสร้างความโดเด่นออกมา ช่วยดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี
กระดาษโพสต์อิทมักผลิตออกมาหลากหลายขนาด และรูปร่าง ซึ่งมีสีสันสวยงาม สะดุดตา เพื่อให้เกิดภาพจำ เพียงแค่เขียนเนื้อหาสำคัญ หรือข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงสิ่งจำเป็นต่างๆ ที่ต้องจำลงบนกระดาษและแปะไว้ในสมุดจดสรุป หรือหนังสือเรียนจะช่วยให้จำได้ดีขึ้น
วิธีอ่านหนังสือสอบให้เข้าสมองที่ง่ายแสนง่าย ก็คงหนีไม่พ้นการทบทวนเนื้อหาบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้เรียกได้ว่าเป็นวิธีคลาสสิคเลยก็ว่าได้ น้องๆ สามารถทบทวนบทเรียนวันละเล็กวันละน้อย แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จะช่วยให้การอ่านหนังสือไม่หนักจนเกินไปจนสมองรับไม่ไหว และการทบทวนแบบนี้ซ้ำๆ จะเรียกว่า “Overlearning” ซึ่งช่วยให้ความรู้หรือทักษะติดตัวเราไปได้ยาวนาน ถึงแม้จะเรียนเรื่องใหม่ๆ แต่ความรู้เดิมที่เคยเรียนรู้ก็จะไม่หายไป
สิ่งสำคัญจากการอ่านและการจดคือการทดสอบความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมา เพื่อให้แน่ใจว่าการอ่านหนังสือที่ผ่านมาเราจดจำ และเข้าใจมากน้อยแค่ไหน โดยวิธีที่สามารถทดสอบตัวเองได้มีดังนี้
การฝึกทำโจทย์จะช่วยให้น้องๆ นำเอาสิ่งที่เรียนรู้มามาลงมือปฏิบัติ สามารถหาแบบทดสอบจากหนังสือ หรือตามอินเทอร์เน็ต มาลองทำดู ทั้งอัตนัย และปรนัย หรืออาจจะลองสร้างโจทย์ขึ้นมาเอง แลเวตอบคำถาม วิธีนี้นอกจากจะช่วยทดสอบความรู้แล้ว ยังถือเป็นการทบทวนบทเรียนอีกด้วย
วิธีนี้ให้น้องๆ ลองปิดหนังสือแล้วเขียนหรือพูดอธิบายสิ่งที่อ่านมาให้ตนเอง หรือเพื่อนฟังก็ได้ โดยวิธีนี้เพื่อนๆ สามารถแย้ง หรือเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ด้วย
เทคนิคการอ่านหนังสือและการท่องจำของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีหลายๆ คนที่จำได้ดีเมื่อมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อดีของการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อื่นคือได้เกิดการลงมือปฏิบัติ ได้เห็นภาพ ได้เกิดความเข้าใจจากประสบการณ์ตรง และประสบการณ์ทางอ้อม ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ และจดจำได้ในระยะยาว
สภาพแวดล้อมในการอ่านหนังสือที่ดีมีผลต่ออารมณ์ และความรู้สึกกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนในสภาพแวดล้อมที่มีอุปกรณ์การเรียนที่อำนวยความสะดวกครบครัน มีความเงียบสงบ บรรยากาศดี แสงดี และสถานที่ดูโปร่งโล่ง เป็นระเบียบสบายตา จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ มีสมาธิ ช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพการอ่านหนังสือ ต้องรู้ว่าอ่านหนังสือตอนไหนดีที่สุด การอ่านหนังสือสอบเวลาไหนถึงจะดีนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และจุดประสงค์ในการอ่าน เพราะในแต่ละช่วงเวลาก็มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป โดยเวลายอดฮิตในการอ่านหนังสือมักเป็นช่วงเวลาเช้า และกลางคืน
ตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่เราได้ตื่นมาจากการพักผ่อนอย่างเต็มที่ในช่วงเวลากลางคืน สมองในช่วงนี้ก็จะปลอดโปร่ง สดใส พร้อมเรียนรู้ ข้อดีของการอ่านหนังสือสือในตอนเช้า ดังนี้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการอ่านหนังสือในช่วงเวลากลางคืนเป็นสิ่งที่หลายๆ คนชื่นชอบ เพราะมีข้อดีดังนี้
ปัญหารบกวนที่เป็นสาเหตุให้การอ่านหนังสือสอบไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหาที่ยาก ยังหาวิธีการเรียนที่เหมาะกับตัวเองไม่เจอ หรือ ไม่มีสมาธิ สิ่งที่จะมากำจัดปัญหาเหล่านี้ให้สิ้นซาก คือการสังเกตตัวเอง และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อที่จะรู้ว่าตัวเราเหมาะกับการอ่านหนังสือตอนไหนดีที่สุด เพื่อเลือกเทคนิคการอ่านหนังสือที่ใช่ เพราะวิธีที่เหมาะสมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่รับรองได้เลยว่าวิธีที่นำมาเสนอในบทความนี้เป็นวิธีที่ได้ผล เพียงแต่น้องๆ ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเองจึงจะดีที่สุด